หากคุณเป็นคนที่มีความคิดแน่นอนว่า “ถุงยางอนามัย” คงเป็นสิ่งที่คุณต้องพกไว้แน่ และจะไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์หากไม่มีมัน เพราะถุงยางอนามัยช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ที่คุณไม่พร้อมได้ และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนรักสนุกเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ถุงยางอนามัยจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ HIV ได้มากถึง 98% เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้คงต้องยกเว้นยกเว้น หูดหงอนไก่ และเริมที่อวัยวะเพศ ไว้เพราะทั้ง 2 โรคนี้ สามารถแพร่เชื้อได้จากการสัมผัสผิวหนังของผู้ป่วย แม้เวลาที่ใช้ถุงยางอนามัย เชื้ออาจติดตรงผิวหนังส่วนที่อยู่นอกถุงยางได้
เพศสัมพันธ์แบบไหน ติดเชื้อ/ติดโรคได้
• หากคุณเพียงแค่เล้าโลม หรือสำเร็จความใคร่ภายนอกร่างกาย โอกาสที่จะเสี่ยงติดโรคจากคู่นอนจะน้อยมาก
• รองลงมาเพศสัมพันธ์ด้วยปาก
• การสอดใส่ผ่านช่องคลอด จะมีความเสี่ยงมากขึ้นมา
• สุดท้ายที่มีความเสี่ยงในการติดโรคมากที่สุด คือการมีเพศสัมพันธ์ผ่านทวารหนัก เพราะอวัยวะเพศชาย และรูทวารหนักทำให้เกิดรอยถลอกได้ง่าย ทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าสู่แผลนั้นได้ง่ายขึ้น
ถุงยางอนามัย ช่วยได้แน่ ถ้าใช้ถูกวิธี
อย่างไรก็ตาม ถุงยางอนามัยก็ยังคงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ต้องการใช้ให้ถูกวิธี
1. เลือกขนาดของถุงยางอนามัยให้พอดีกับขนาดอวัยวะเพศของคุณผู้ชาย หากเป็นครั้งแรกควรลองซื้อมาหลายๆ ขนาด จากนั้นลอง แล้วเลือกขนาดที่พอดีที่สุด
2. การสวมถุงยางอนามัย 2 ชิ้นต่อการใช้ 1 ครั้ง หรือมากกว่า 2 ชั้น อาจทำให้ถุงยางอนามัยเสียดสีกันจนขาดได้ง่าย
3. ควรใช้ถุงยางอนามัย 1 ชิ้นต่อครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจแล้วให้ทิ้งเลย ห้ามเก็บมาใช้ต่อ
4. ถึงแม้ถุงยางอนามัยจะมีสารหล่อลื่นอยู่แล้ว แต่ใช้สารหล่อลื่นทาเคลือบภายนอกเพิ่มได้อีก เพื่อให้การสอดใส่เป็นไปได้โดยง่ายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ถ้าเลือกใช้ชนิดเจลจะดีกว่าชนิดน้ำมัน เพราะชนิดน้ำมันอาจทำให้ถุงยางชำรุด หรือฉีกขาดได้
5. ควรรูดอากาศออกจากกระเปาะของถุงยางให้หมดก่อนสวม เพราะอากาศภายในถุงยางอาจทำให้ถุงยางแตก หรือขาดได้ง่ายยิ่งขึ้น
6. หลังทำกิจกรรมเสร็จเรียบร้อย ฝ่ายชายควรถอนอวัยวะเพศออกมาก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว ป้องกันถุงยางอนามัยหลุดเข้าไปในช่องคลอดของฝ่ายหญิง